ความจำเป็นอีกมิติเป็นผลมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์และไม่พร้อมดูแลเด็ก เช่น พ่อแม่หรือผู้ปกครองเสียชีวิต หย่าร้าง แต่งงานใหม่ ย้ายถิ่นไปทำงาน ถูกจำคุก ติดสารเสพติด และใช้ความรุนแรง ขณะเดียวกัน เด็กก็ไม่มีญาติคนอื่นซึ่งมีทรัพยากรเพียงพอและเต็มใจอุปการะ ครอบครัวจึงตัดสินใจส่งพวกเขามาอยู่ภายใต้ความดูแลของพระที่วัดแทน ปัจจุบัน เด็กอายุไม่เกิน 14 ปีราวร้อยละ 25.2 ไม่ได้อาศัยอยู่กับทั้งพ่อและแม่5 สถิติเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่พร้อมดูแลและเสี่ยงขาดผู้ดูแลเป็นพิเศษนับเป็นเด็กกลุ่มใหญ่มากในสังคม
จากสาเหตุข้างต้น จำนวนสามเณรที่เพิ่มขึ้นจึงมิได้สะท้อนถึงความสนใจหรือความศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่มากขึ้น แต่เป็นสัญญาณของปัญหาความยากจนและครอบครัวไม่สมบูรณ์ที่รุนแรงขึ้นในหมู่ครัวเรือนที่มีเด็กและเยาวชนตั้งแต่ระหว่างจนถึงหลังวิกฤตโควิด ส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากความพยายามเข้าถึงเด็กเหล่านั้นของวัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ หลายแห่งในเชิงรุก เช่น ประชาสัมพันธ์เชิญชวน และจัดรถไปรับเด็กในพื้นที่ยากจน
สามเณรหลุดจากโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ
จำนวนมาก เพราะไม่ใช่พื้นที่เหมาะกับพัฒนาการ-การเรียนรู้
วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ อาจเป็นทางรอดสำหรับเด็กที่ยากจนและมีครอบครัวไม่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่ใช่หนทางที่สามารถนำพาพวกเขาทุกคน – สามเณรทุกรูป – ไปสู่ปลายฝันได้ดังหวัง
สามเณรที่บรรพชาตั้งแต่อายุน้อยต้องเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงการศึกษาระดับประถมศึกษา เพราะโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ เปิดสอนเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและปลาย ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็ไม่อนุญาตให้สถานศึกษาในสังกัดรับสามเณรเข้าเรียน6 อีกทั้งกรมส่งเสริมการเรียนรู้ยังกำหนดอายุมาตรฐานของนักเรียนการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ไว้สูงถึง 16 ปีขึ้นไป7 เมื่อไม่ได้เรียนประถมศึกษาหรือเรียนล่าช้า สามเณรกลุ่มนี้อาจขาดความรู้และทักษะพื้นฐานที่สุดในการดำเนินชีวิต เสียโอกาสเรียนต่อ และถูกตัดหนทางเติมเต็มความฝันในชีวิต
สามเณรที่สามารถเข้าเรียนมัธยมศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ได้ ก็มีอัตราการออกจากโรงเรียนกลางคันสูง จากข้อมูลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สามเณรรุ่นที่เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2020 มีจำนวนทั้งสิ้น 8,001 รูป แต่เรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในปีการศึกษา 2022 เพียง 5,658 รูป ออกกลางคันราวร้อยละ 29.3 หลังจากนั้น สามเณรรุ่นนี้เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในปีการศึกษา 2023 แค่ 4,682 รูป เท่ากับว่าหลุดจากโรงเรียนรวมร้อยละ 41.58
งานสัมภาษณ์และศึกษาภาคสนามของ คิด for คิดส์ และ The101.world พบว่า สาเหตุการออกจากโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ มีหลากหลาย บางส่วนเพราะสถานการณ์ครอบครัวของสามเณรในมิติรายได้ ความสัมพันธ์ และความพร้อมในการดูแล เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น บางส่วนเติบโตจนพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น พร้อมทั้งมีโอกาสการศึกษาและการทำงานอื่น โดยเฉพาะในกลุ่มที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งสามารถเข้าเรียน กศน. และอาชีวศึกษา ตลอดจนรับจ้างงานทักษะต่ำถึงปานกลางได้แล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงหมดความจำเป็นที่บีบบังคับให้ต้องครองสมณเพศต่อไป
อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญคือ สามเณรไม่สามารถเติบโต เรียนรู้ และเติมฝันในพื้นที่วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ได้อย่างเหมาะสมและเป็นสุข พวกเขาติด ‘แอกทางศีลธรรม’ ถูกห้ามทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของวัยรุ่น สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) ระบุว่าวัยรุ่นต้องผ่านพัฒนาการสำคัญ 10 ประการเพื่อเปลี่ยนสู่วัยผู้ใหญ่ ได้แก่9
- ปรับตัวกับพัฒนาการทางร่างกายและความรู้สึกทางเพศ
- พัฒนาทักษะการคิดเชิงนามธรรม เชิงวิพากษ์ เชิงปรัชญา และเชิงสร้างสรรค์
- สร้างอัตลักษณ์
- สำรวจ ตั้งคำถาม และนิยามชุดคุณค่า ความเชื่อ และจริยธรรมของตนเอง
- วางแผนอนาคต และพัฒนาทักษะการตัดสินใจ แก้ปัญหา จัดการความขัดแย้งและทดลองเสี่ยง
- เข้าใจประสบการณ์และแสดงออกอารมณ์ที่ซับซ้อน
- พัฒนามุมมองต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์
- ปรับความสัมพันธ์กับผู้ใหญ่และผู้ปกครอง
- สร้างมิตรภาพ
- เติมเต็มบทบาทและความรับผิดชอบที่มากขึ้นในฐานะสมาชิกครอบครัวแรงงาน และพลเมือง
ถึงกระนั้น สามเณรกลับถูกห้ามเล่นกีฬาและออกกำลังกาย ซึ่งจำเป็นต่อพัฒนาการทางร่างกาย อีกทั้งยังถูกห้ามเล่นดนตรีและร้องรำ ห้ามเดินทางท่องเที่ยว เล่นเกม และเล่นการละเล่น รวมถึงห้ามแต่งกายอิสระ ซึ่งจะช่วยขยายจินตนาการและฝึกฝนความคิดสร้างสรรค์ การห้ามกิจกรรมเหล่านี้ยังสร้างข้อจำกัดในการพัฒนาทักษะอื่น การค้นหาตนเองเพื่อสร้างอัตลักษณ์ และการวางแผนอนาคตในชีวิต
ด้วยสามเณรเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา พวกเขาจึงไม่สามารถสำรวจและนิยามชุดคุณค่า ความเชื่อ และจริยธรรม ตลอดจนฝึกตัดสินใจและควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้อย่างอิสระ การศึกษาวิชาธรรมและบาลีที่เน้นท่องจำ และการปกครองภิกษุสามเณรที่มีลักษณะอำนาจนิยมสูง ยิ่งตอกย้ำปัญหาข้างต้น อีกทั้งปิดกั้นมิให้พวกเขาได้พัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์และโต้แย้งถกเถียงเท่าที่ควร นอกจากนี้ การครองตนในฐานะสามเณรยังส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้ตามปกติเหมือนเด็กและเยาวชนทั่วไป ถูกตัดโอกาสในการเสริมสร้างประสบการณ์และทักษะความสัมพันธ์
‘แอกทางศีลธรรม’ ยังหมายความว่า สามเณรในฐานะผู้ทรงศีลไม่สามารถผิดพลาด แล้วเรียนรู้และเติบโตจากความผิดพลาดของตนเอง ดังที่วัยรุ่นควรมีโอกาส เพราะถ้าสามเณรประพฤติ ‘ผิด’ ก็มักถูกมองว่า ทำให้สถาบันพระพุทธศาสนามัวหมอง เป็นเหตุให้ศาสนิกชนติฉินนินทา วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ จึงมักให้สามเณรรูปนั้นลาสิกขา เพื่อรักษาความชอบธรรมและอำนาจนำทางศีลธรรม
ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ สามเณรจำนวนมากยังประสบภาวะเครียดและโดดเดี่ยวซ้ำเติมให้พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิต เติบโต และเรียนรู้อย่างเป็นสุข จนหลายคนต้องเลือกลาสิกขา แม้สถานการณ์ความยากจนและไม่พร้อมดูแลของครอบครัวจะยังไม่ดีขึ้นเพียงพอ กล่าวได้ว่า ปัญหาที่วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ไม่เหมาะสำหรับพัฒนาการเด็ก ผลักพวกเขากลับสู่ความลำบาก และไกลปลายฝันยิ่งขึ้น