ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน คงไม่มีใครคิดว่าสักวันหนึ่ง เราจะมีเทคโนโลยีใกล้ตัวที่สามารถตอบโต้ ช่วยเหลือ หาข้อมูล หรือแม้กระทั่งสร้างสรรค์งานบางอย่างขึ้นมาราวกับเป็นเพื่อนคู่คิดคนหนึ่ง ทั้งหมดนี้ดูคล้ายกับจะเป็นอะไรที่เกิดขึ้นในหนังไซ-ไฟล้ำสมัยสักเรื่องเท่านั้น
ทว่า ในวันนี้ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในจอหรือหน้าหนังสืออีกต่อไป เราทุกคนเข้าสู่ยุคที่ถูกขนานนามว่าเป็นยุคเทคโนโลยีเขย่าโลก (technology disruption) ที่นวัตกรรมล้ำยุคมากมายดาหน้าเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) หรือเอไอ (AI) ที่เข้ามามีส่วนร่วมในแทบจะทุกมิติของชีวิตมนุษย์ ไล่เรียงตั้งแต่เอไอใกล้ตัวอย่าง ChatGPT หรือ Google Gemini ไปจนถึงเทคโนโลยีล้ำยุคที่เกินจะคาดคิด
ทุกอย่างคล้ายจะเปลี่ยนโฉมหน้าของยุคสมัยและยกระดับการใช้ชีวิตของมนุษย์ไปอีกขั้นหนึ่ง
กระนั้น เหรียญย่อมมีสองด้านเฉกเช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับประเด็นแหลมคม เพราะแม้เอไอจะกลายเป็นเพื่อนคู่คิดของมนุษย์ แต่ขณะเดียวกัน หลายคนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเอไอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นส่วนตัวหรืออคติของเอไอที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างที่เราคิดไม่ถึง และกลุ่มสำคัญที่หลายคนหยิบยกมาพูดกันคือกลุ่ม ‘เด็กและเยาวชน’
หากมองมุมหนึ่ง เด็กและเยาวชนในยุคหลังเติบโตขึ้นมาแทบจะพร้อมกับเทคโนโลยี พวกเขาใช้เทคโนโลยีได้คล่องแคล่ว อีกมุมหนึ่ง เด็กและเยาวชนก็ยังคงเป็นเด็กและเยาวชน หลายครั้งที่แม้จะชินกับเทคโนโลยีแค่ไหน แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง ไม่รอบด้าน และไม่ได้รับการกำกับดูแลที่เหมาะสม เทคโนโลยีก็อาจกลายเป็นหอกที่ทิ่มแทงเด็กและเยาวชนได้เช่นกัน
ปนะเด็นนี้จึงกลายเป็นการบ้านฉบับใหม่ที่มาพร้อมกับไอเอที่เบ่งบานในสังคม – เราจะดูแลเด็กและเยาวชนอย่างไรในโลกใหม่ใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครอง ครู หรือผู้ใหญ่ในสังคม จะมีวิธีอย่างไรเพื่อทั้งดูแลเด็กและเยาวชนให้ใช้เทคโนโลยีได้อย่างพอเหมาะและพอดี พร้อมๆ กับที่เหล่าผู้ใหญ่ปรับตัวและสร้างความรู้เท่าทันในเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน
วันโอวัน ชวนเดินทางหาคำตอบผ่านผลงานวิจัย เด็กเยาวชนและครอบครัวในยุคเอไอเบ่งบาน: โอกาสความเสี่ยงและแนวทางกำกับดูแล (วรรณกรรมปริทัศน์) ของคิด for คิดส์ โดยความร่วมมือระหว่าง สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) : ThaiHealth HappyChild กับ 101 PUB – 101 Public Policy Think Tank ในงานเสวนาสาธารณะ ‘Research Roundup 2025: เติบโตในโลกใหม่? จากเอไอ ถึงอนาคตของงาน สู่ความคิด-ความฝันของเด็กและเยาวชนไทย’
การบ้านในโลกยุคเอไอเป็นอย่างไร ชวนหาคำตอบได้ในบรรทัดถัดจากนี้
เด็ก เยาวชน และครอบครัวเป็นอย่างไร ในยุคเอไอเบ่งบาน – วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง
“เวลาเราพูดถึงเอไอมันดูตื่นเต้น บางคนก็เปรียบเทียบเอไอกับหลายอย่าง เช่น สุนทร พิชัย (Sundar Pichai -CEO ของกูเกิล) กล่าวว่าการค้นพบเอไอเป็นการค้นพบที่สำคัญในระดับเดียวกับการค้นพบไฟ ซึ่งจริงๆ ถ้าย้อนกลับไปในปี 1994 จอห์น บาร์โลว (John Barlow -กวีชาวอเมริกัน) ก็เคยเปรียบเทียบว่า การมีอินเทอร์เน็ตเป็นการค้นพบไฟเหมือนกัน”
ข้างต้นคือคำกล่าวนำจาก วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง บรรณาธิการอำนวยการสำนักพิมพ์ Bookscape ที่นำเสนอข้อค้นพบจากผลงานวิจัยฯ โดยเริ่มจากการเน้นย้ำถึงนัยสำคัญของการค้นพบเอไอ อย่างไรก็ดี วรพจน์ชี้ให้เห็นว่า แม้ทั้งพิชัยและบาร์โลวจะมีมุมมองคล้ายกัน แต่พิชัยมองว่า มนุษย์จำเป็นต้องมีกฎระเบียบเพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดจากเอไอ เช่น การทำ Deep Fake (การสร้างภาพหรือวีดิโอของปลอมในรูปแบบที่เหมือนจริงมาก) แต่บาร์โลวกลับมองว่า รัฐไม่จำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซง เนื่องจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะเป็นผู้จัดการเรื่องดังกล่าวเอง
วรพจน์ขยับมาชี้ให้เห็นมิติเชิงเทคโนโลยีหรือนิยามของเอไอ ซึ่งมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี เช่น นิยามของเอไอที่เปลี่ยนแปลงเมื่อเกิด Generative AI -เอไอที่มีความสามารถในการสร้างเนื้อหาใหม่ๆ) ขึ้นมา แต่แกนสำคัญคือ เอไอเป็นเทคโนโลยีที่มีปัญญาหรือความฉลาดในการทำงานที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ บางนิยามถึงกับมองว่า เอไอเป็นเครื่องจักรที่สามารถเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ได้ เช่น การรับรู้ การเรียนรู้ การใช้เหตุผล หรือแม้แต่การใช้สร้างสรรค์ผลงาน ขณะที่บางนิยามมองอย่างตรงไปตรงมาว่า เอไอคือระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบโดยมนุษย์
เมื่อขยับมาถึงที่เรื่องสำคัญอย่างการมองเอไอผ่านแว่นตาสิทธิเด็ก วรพจน์ชี้ว่า มีองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น ยูนิเซฟ (UNICEF) ยูเนสโก (UNESCO) สหภาพยุโรป (European Union: EU) ที่พยายามออกแนวทางการกำกับดูแลเอไอและทำความเข้าใจเพื่อทำให้เอไอสร้างผลกระทบเชิงบวกได้
นอกจากนี้ หากมองในภาพรวม เทรนด์ทั่วโลกก็กำลังโฟกัสเรื่องเอไอกับสิทธิมนุษยชน อาทิ มิติความเป็นส่วนตัว ความโปร่งใส หรือแม้กระทั่งการสนับสนุนคุณค่าความเป็นมนุษย์ แต่วรพจน์มองว่า “อาจยังไม่พอ”
หากมองลึกไปกว่านั้นว่า ทำไมเราต้องเน้นเรื่องเอไอกับสิทธิเด็ก คำตอบสำคัญอาจอยู่ที่ความเสี่ยงซึ่งเอไออาจก่อให้เกิดขึ้นกับเด็ก วรพจน์ยกตัวอย่าง EU Kids Online ที่แบ่งความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ ออกเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากเนื้อหาที่ไม่ดี (content), การติดต่อจากคนที่ไม่รู้จัก (contact) รวมถึงความเสี่ยงที่เด็กกระทำขึ้นเอง (actor) เช่น ใช้เอไอในการสร้าง (generate) ภาพของเพื่อนและนำไปล้อเลียนกัน
“เอไอยังมีความเสี่ยงในเชิงจริยธรรม เช่น ความลำเอียงและการเลือกปฏิบัติ เพราะเอไอเป็นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การพัฒนาขีดความสามารถใดๆ ของเอไอก็มาจากพลวัตทางสังคมที่มีอยู่ก่อนหน้า เลยกลายเป็นว่าเอไอได้ผลิตซ้ำและตอกย้ำอคติบางอย่างในสังคม หรือมีแนวโน้มลำเอียง (bias) ไปทางคนที่สร้างมันขึ้นมา” วรพจน์กล่าว พร้อมทั้งเสริมว่า เอไอยังก่อให้เกิดภาวะที่ไร้ความรับผิดชอบและบั่นทอนอำนาจกำกับตนเองและสิทธิพลเมือง เพราะหากเอไอทำงานผิดพลาดขึ้นมา ปัญหาสำคัญคือ เราจะไม่สามารถสืบโยงได้ว่าใครเกี่ยวข้องหรือต้องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ เพราะเอไอมีความซับซ้อนและก่อให้เกิดวงความรับผิดชอบที่กระจายไปไกลมากจนอาจจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ขาดความโปร่งใส ไร้คำอธิบาย ขาดเหตุผลรองรับ และละเมิดความเป็นส่วนตัว
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเสี่ยงในภาพรวมเท่านั้น เพราะวรพจน์ชี้ว่า เอไอแต่ละแบบก็มีความเสี่ยงต่างกันต่อไป เช่น ถ้าเป็นเอไอที่เป็นระบบแนะนำ แน่นอนว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจะมาจากการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ หรืออาจนำเสนอข้อมูลเดิมๆ ให้ผู้ใช้
พูดให้ถึงที่สุด วรพจน์ยกตัวอย่างการแพร่กระจายของเนื้อหาทางลบ หรือการโฆษณาชวนเชื่อ การสร้างข้อมูลหลอกลวง ดังที่เราเห็นว่ามีคนตัดสินใจจบชีวิตเพราะคุยกับโปรแกรมแชทบอท
ทั้งหมดนี้นำมาสู่ประเด็นสำคัญคือ เราจะสร้างความรู้เท่าทันเอไอ (AI Literacy) อย่างไรในโลกที่เต็มไปด้วยเอไอ
“มีแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจคือ Co-Intelligence มองเอไอเป็นปัญญาคู่คิดและใช้เอไอในฐานะของผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงกำหนดคาแรกเตอร์ให้เอไอได้ เช่น จะให้เอไอผลิตงานแบบไหน อย่างไร หรืออาจจะใช้เอไอทำงานสร้างสรรค์ ซึ่งแม้เอไอจะดูมีจุดอ่อน แต่ความแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานแนวคิดที่ต้องการหน่อเชื้อบางอย่าง เอไออาจจะทำงานกับมันได้”
ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งข้อสรุปของวรพจน์คือ เราสามารถใช้เอไอได้ แต่ต้องมีทักษะของมนุษย์ อาทิ ความฉลาดทางอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และการมีวิจารณญาณ พ่วงเข้าไปด้วย
แม้เอไอจะมีความเสี่ยงมากมาย โดยเฉพาะกับเด็กที่อาจปราศจากความรู้เท่าทันที่เพียงพอ ทว่าวรพจน์ชี้ให้เห็นว่า เราสามารถมีแนวทางในการกำกับและดูแลเด็กได้ อาทิ แนวคิดแบบยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง (child-centered design) ซึ่งจะคำนึงถึงประสบการณ์ในการใช้เอไอของเด็กในโลกดิจิทัลและคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก
“แนวคิดที่น่าสนใจคือ การติดฉลากให้เอไอก่อนใช้งาน” วรพจน์กล่าว “คือพ่อแม่จะดูได้ว่า เอไอนี้เหมาะกับเด็กอายุเท่าไร มีเซนเซอร์ที่ทำงานแบบไหน และเก็บข้อมูลไปทำอะไรบ้าง”
แน่นอนว่ากลไกสำคัญที่สุดกลไกหนึ่งคือภาครัฐ วรพจน์มองว่า รัฐควรเพิ่มขีดความสามารถและความเชี่ยวชาญของตนเองเพื่อรับมือกับประเด็นเอไอและเด็ก โดยอาจจะผ่านการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อดูแลและกระจายทรัพยากรให้เพียงพอ ส่งเสริมความรู้เท่าทันเอไอและสนับสนุนให้มีการใช้เอไออย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น
ทว่าเมื่อกล่าวถึงยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับเอไอของชาติ วรพจน์ชี้ว่า ยุทธศาสตร์ดังกล่าวแทบจะไม่ได้กล่าวถึงเด็กในมิติสังคมและการเมืองเลย ซึ่งเขามองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราควรให้ความสำคัญมากขึ้นด้วย
“ไม่ใช่แค่ภาครัฐ แต่ภาคเอกชนก็ควรเข้ามามีบทบาทเช่นกัน” วรพจน์กล่าว พร้อมทั้งยกตัวอย่างการดำเนินการของภาคเอกชนผ่านการประเมินผลกระทบเชิงจริยธรรม ไล่เรียงตั้งแต่การออกแบบพัฒนา ยึดหลักความเป็นส่วนตัว ความโปร่งใสในการออกแบบ การทดสอบอคติ รวมถึงคิดถึงการแทรกแซงกรณีเอไอก่อปัญหา และมีการตรวจสอบและประเมินผลกระทบ
“ที่สำคัญคือ พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรเข้าใจเทคโนโลยี และมีความรู้เท่าทันในการใช้งานร่วมกับเด็กด้วย”
ในตอนท้าย วรพจน์กล่าวถึงปัญญาใหญ่เรื้อรังอย่างเรื่องความเหลื่อมล้ำ ซึ่งมีหลายมิติที่เกี่ยวข้องกับเอไอเช่นกัน วรพจน์ยังชี้ว่า เรื่องความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องในระดับภาครัฐ และต้องมีการกำกับดูแลคนที่มีหน้าที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้งานเอไอให้คำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เพราะการที่เอไอมีอคติหรือความลำเอียงก็เป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
“ความลำเอียงของเอไอจะกระทบกับเด็กได้ ถ้าพวกเขาเล็กมากและสมองยังไม่พัฒนาอย่างเต็มที่ สิ่งนี้จะกระทบกับพัฒนาการของเขาเยอะมาก”
“ผมคิดว่าภาครัฐและเอกชนต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย ภาครัฐจึงต้องทำทุกระดับ ตั้งแต่การเข้าถึงไปถึงการสร้างความรู้เท่าทันเอไอจริงๆ อาจจะทำงานวิจัยเพื่อสนับสนุน ดูว่าจะทำอย่างไรกับความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากเอไอ” วรพจน์ทิ้งท้าย
เปิดตำราเลี้ยงลูกในยุคเทคโนโลยี ทำอย่างไรให้เด็กรู้เท่าทันเอไอ – เอษรา วสุพันธ์รจิต
แม้เอไออาจฟังดูเป็นเรื่องของเทคโนโลยีเป็นหลัก แต่สำหรับ ดร. เอษรา วสุพันธ์รจิต ผู้ร่วมก่อตั้ง ป๊าม้าพลัส การพูดถึงเอไอคือการพูดถึงคนที่ใช้เอไอเป็นเครื่องมือ กล่าวคือเอไอเป็นเครื่องมือที่ถูกประดิษฐ์เพื่อให้มนุษย์มีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงว่า เอไอจะเป็นเครื่องมือหรือเป็นอันตรายกันแน่
เอษราเท้าความถึงเรื่องไฟที่วรพจน์กล่าวไปตอนต้น กล่าวคือ ผู้ใหญ่ทุกคนรู้จักไฟและรู้ว่า ไฟมีทั้งประโยชน์และข้อควรระวัง คำถามถัดไปคือ ผู้ใหญ่ที่รู้จักไฟดีจะสอนเด็กอย่างไร หรืออาจจะต้องย้อนกลับไปถึงคำถามว่า จะทำอย่างไรให้ผู้ใหญ่รู้จักไฟอย่างถ่องแท้จนสามารถที่จะสอนเด็กได้
“ผู้ใหญ่ส่วนมากจะมองว่า เอไอเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการทำมาหากินให้สะดวกมากขึ้น แต่อาจไม่ได้ตระหนักว่า จริงๆ แล้ว เอไอซ่อนอยู่ในแพลตฟอร์มที่เราใช้ เพราะงั้นถ้าผู้ใหญ่หยิบยื่นเทคโนโลยีให้เด็กไปเลยโดยปราศจากความเข้าใจตรงนี้มันจะยากขึ้น”
เอษรามองว่า หลายครั้งที่คนไม่รู้ว่าผลกระทบของเอไอคือผลกระทบด้วยซ้ำ เพราะผลกระทบดังกล่าวอาจจะมาในรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดบางอย่าง ดังที่รายงานฯ นำเสนอว่า หากให้เอไอสร้างภาพของ ‘ผู้บริหาร’ ออกมา ภาพที่ได้มักจะออกมาเป็นชายผิวขาวเสมอ ตรงนี้จึงเหมือนกับการสโคปความคิดของผู้ใช้ไปโดยปริยาย และทำให้ภาพจำตรงนี้ถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใครทันรู้ตัวด้วยซ้ำ
หากพูดถึงเรื่องเด็ก แพลตฟอร์ม ‘ป๊าม้าพลัส’ ของเอษราจะเน้นเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเชิงบวก (positive parenting) ในไทย คือสอนให้ผู้ปกครองมีสกิล ความรู้ และสอนให้ลูกเติบโตขึ้นมาโดยรู้ว่าตนเองมีความสามารถและความสำคัญ อันจะช่วยต่อยอดสิ่งต่างๆ ได้
“ตอนนี้เรากำลังพัฒนาเอไอเพื่อช่วยตรวจ ‘การบ้าน’ ของผู้ปกครอง” เอษรานำเสนอ และขยายความว่า การบ้านที่ว่าไม่ใช่การบ้านจริงๆ แต่เป็นการบ้านที่มาจากหลักสูตรการเลี้ยงลูกเชิงบวก ซึ่งเอไอนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถตรวจว่าตนเองได้เลี้ยงลูกเชิงบวกแล้วหรือไม่ เป็นเครื่องช่วยต่อยอดให้ผู้ปกครองได้พูดคุยกับลูกของตนเอง
“ในอนาคต เราอาจจะพัฒนาเป็นความเป็นจริงเสมือน (virtual reality) เลย คือให้ผู้ปกครองสามารถใช้จำลองสถานการณ์ได้ว่า หากลูกมีพฤติกรรมประมาณนี้จะทำอย่างไรต่อไป”
เมื่อพูดถึงยุทธศาสตร์ด้านเอไอในปัจจุบัน เอษราชี้ว่า แม้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะระบุถึงแนวทางการพัฒนาเด็กเพื่อให้เด็กสามารถใช้เอไอพัฒนาเศรษฐกิจได้ แต่มุมมองนี้คล้ายจะมองว่าเด็กเป็นเครื่องมือมากกว่า เอษราจึงลองพลิกมุมกลับว่า เราอาจจะเริ่มจากการพิจารณาว่าเอไอสามารถส่งผลกระทบกับอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้อย่างไร และค่อยมาพิจารณาต่อว่า เราจะใช้เครื่องมือและดูแลคนที่ใช้เครื่องมือนั้นอย่างไร
“บางทีเราอาจต้องยอมรับว่า เรายังไม่ได้ไปถึงจุดที่เราทำอะไรจริงจัง ไม่มีหน่วยงานกลางมาฟันธงได้ว่า เราจะร่วมมือกันยังไง” เอษรากล่าว “ตอนนี้เราพูดถึงแต่การลงทุนในเศรษฐกิจ แต่ไม่พูดถึงการลงทุนในคนเลย ไม่มีใครพูดถึงเด็กไทยที่จะต้องเติบโตไปแบกคนอีกกว่า 60 ล้านคนข้างหน้า”
“ทุกวันนี้อัตราเกิดต่ำลงมากนะคะ เด็กๆ รุ่นใหม่ก็บอกว่าโลกไม่น่าอยู่และพวกเขาไม่อยากมีลูก แล้วเราจะช่วยเด็กกลุ่มนี้ให้กลับมามีความหวังอย่างไร”
ทว่าไม่ใช่เพียงแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะช่วยปกป้องและสื่อสารเรื่องการใช้เอไอกับเด็ก ทว่าหลายครั้งที่เด็กเองก็สามารถช่วยสื่อสารหรือปกป้องเด็กด้วยกันได้เช่นกัน เอษราชี้ว่า ทุกวันนี้ เด็กกับผู้ใหญ่เหมือนจะพูดคุยกันคนละภาษา ดังนั้น น่าจะเป็นเรื่องดีหากเด็กหรือวัยรุ่นสามารถสอนผู้ใหญ่ให้ใช้ภาษาเดียวกันเพื่อส่งต่อองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันได้
ถ้าพูดให้ชัดเจนขึ้น เอษราชี้ว่า ทักษะในเรื่องการรับฟัง เข้าใจและเมตตา รวมถึงมีความเห็นอกเห็นใจ (empathy) โดยมองว่าอีกฝ่ายคือมนุษย์เหมือนกันและต้องเคารพซึ่งกันและกัน จะช่วยให้ผู้ใช้เทคโนโลยีกลั่นกรองเนื้อหาได้โดยอัตโนมัติ อาทิ ไม่ยอมรับเนื้อหาที่มีการเหยียดผู้อื่น
“ถ้าจะหวังพึ่งผู้ปกครอง อย่าลืมนะคะว่าผู้ปกครองก็อาจไม่ได้เข้าใจเอไอขนาดนั้น บางคนก็ขาดโอกาสจริงๆ แต่เราสามารถสอนให้เด็กให้เกียรติผู้อื่นและเคารพความเป็นมนุษย์ของกันและกัน รวมถึงสร้างค่านิยมขึ้นมาในสังคมได้ในฐานะผู้ใหญ่ ถ้าเราเข้าใจจุดนี้ด้วย การใช้เอไอจะยิ่งมีประสิทธิภาพ” เอษราเน้นย้ำ
ในตอนท้าย เอษรากล่าวว่า “มันน่าสนใจนะว่า ทำไมคนเราคิดว่าเรารู้น้อยกว่าเอไอ เป็นเพราะระบบสังคมหรืออะไรกันแน่ที่ทำให้เราต้องพุ่งเข้าใส่ทุนนิยมจนลืมไปเลยว่า จริงๆ คุณค่าความเป็นมนุษย์ไม่ได้ขึ้นกับแค่เรื่องเงินตราอย่างเดียว”
“เรื่องหนึ่งที่ผู้ใหญ่สอนเด็กได้เลยแบบไม่ต้องใช้เอไอคือ ทักษะชีวิต ถ้าเราสอนตรงนี้ได้ เครื่องมือไหนมาก็ไม่ต้องกลัว”
มีสติรู้เท่าทัน เพื่อพร้อมรับเอไอแบบ 360 องศา – เสมอกาญจน์ โสภณหิรัญรักษ์
สำหรับ ผศ.ดร. เสมอกาญจน์ โสภณหิรัฐรักษ์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แบ่งปันมุมมองของผู้ใหญ่และผู้ที่คลุกคลีในแวดวงการศึกษามานานว่า การเรียนการสอนในยุคเอไอจะต้องเปลี่ยนแปลงในหลายเรื่อง และที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ ผู้ใหญ่จะต้องมีความรู้เท่าทันเอไอในชีวิตประจำวันด้วย
“ถ้าผู้ปกครองหรือครูรู้ว่าเอไอทำอะไรได้บ้างและมีอิทธิพลกับนักเรียนอย่างไร เราก็จะแนะนำเด็กต่อไปได้ว่า เอไอจะก่อให้เกิดผลกับชีวิตประจำวันเราอย่างไร จะช่วยกรองได้ส่วนหนึ่งด้วย”
เสมอกาญจน์มองว่า จริงๆ แล้ว เอไอเกิดมาเพื่อช่วยมนุษย์ แต่ประเด็นสำคัญคือ มนุษย์จะใช้เอไออย่างไรให้ถูกต้อง
ในฐานะของคนที่ทำงานในระดับมหาวิทยาลัย เสมอกาญจน์แบ่งเด็กที่ใช้เอไอออกเป็นหลักๆ สองกลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่ตั้งคำถามต่อจากสิ่งที่ไอเอสร้างขึ้นมา ถ้าพูดให้ชัดเจนคือ เด็กกลุ่มนี้มีธงคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วและนำสิ่งที่ได้จากเอไอมาปรับต่อไป ต่างจากกลุ่มที่สองคือ เด็กที่ใช้เอไอเพราะต้องการความสะดวกสบายเพื่อจะนำเวลาไปทำอย่างอื่น
“จุดที่น่าคิดคือ ถ้าเราเป็นผู้ปกครอง เราจะช่วยเหลือหรือตั้งคำถามหลังจากที่ได้ใช้งานเอไอแล้วอย่างไรบ้าง” เสมอกาญจน์กล่าว พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดว่า การใช้เอไออาจทำให้เด็กขาดทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ (critical thinking) ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญมาก แต่จะถูกลดทอนลงไปหากเด็กไม่ได้คิดต่อหรือว่าคิดในมุมที่ยังไม่ได้ตั้งคำถามที่ชวนซับซ้อนหรือลึกซึ้งขึ้น
ไม่ใช่แค่เด็ก แต่เสมอกาญจน์ย้ำเตือนว่า ทุกคนต้องมีสติและรู้เท่าทันเอไอว่า เอไอทำอะไรได้บ้าง เราใช้เอไอถูกที่ถูกทางแล้วไหม หากเรามีสติมากพอ เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป เราจะรู้ว่าเราจะปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงนั้นได้อย่างไร
“ตอนทีเด็กยังเป็นเด็ก ยังเปรียบเทียบไม่ได้ว่าอะไรถูกหรือผิด ก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ช่วยเตือนช่วยบอกได้ เมื่อเด็กโตขึ้นแล้ว ก็อาจจะมีเพื่อนที่คอยช่วยแชร์กันได้ว่า เจอเรื่องในแง่มุมนี้แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ ตรงนี้จะช่วยให้เด็กสามารถเปิดโลกและรับฟังคนอื่นได้มากขึ้น ก็เป็นทักษะหนึ่งของวัยรุ่นด้วย”
“หากเรามองแค่มุมของตัวเอง มองไปข้างหน้า เราจะเห็นได้มากสุดแค่ 180 องศา แต่ถ้าเราให้คนอื่นช่วยมองด้วย เราจะมองเห็นได้ถึง 360 องศา”
ในตอนท้าย เสมอกาญจน์ทิ้งท้ายว่า เมื่อเอไอคือสิ่งที่มนุษย์สร้าง การป้อนข้อมูลให้เอไอจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น มนุษย์ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตัวเองว่าเราได้สร้างหรือใส่อะไรลงไปให้เอไอด้วย