‘ธนาคารหน่วยกิต’ ทางเลือกการศึกษายืดหยุ่นที่ต้องทำอย่างรอบคอบ

หากพูดถึงการเรียนรู้ สิ่งที่เราคุ้นชินก็มักเป็นการนั่งเรียนในห้องและวัดผลด้วยการสอบ เมื่อเรียนครบตามที่หลักสูตรกำหนด (หรือเก็บหน่วยกิตได้ครบตามที่กำหนด) ก็จะได้รับวุฒิการศึกษาเพื่อเรียนต่อในระดับที่สูงกว่าหรือใช้สมัครงานที่ต่างๆ เพื่อหารายได้

แต่ปัญหาคือรูปแบบการศึกษาในระบบแบบนี้ไม่ได้เหมาะสมกับเด็กทุกคน เนื่องจากเงื่อนไขชีวิตของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอยู่ในครัวเรือนรายได้น้อยที่จำเป็นต้องหยุดเรียนในบางช่วงเวลาเพื่อทำงาน เด็กเหล่านี้เรียนได้ไม่เต็มที่และจบลงที่การหลุดจากระบบการศึกษา อีกทั้งการศึกษารูปแบบนี้ยังเป็นการปิดกั้นการเรียนรู้ด้วยวิธีอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในห้องเรียนแต่มีความสำคัญต่อการทำงานและสร้างคุณค่าของตัวเองในอนาคต เช่น การอ่านหนังสือ และการทำงาน

ภาครัฐตระหนักถึงข้อจำกัดนี้โดยพยายามผลักดัน ‘ระบบธนาคารหน่วยกิต’ อันเป็นทางเลือกในการเข้าถึงการศึกษาที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงแก้ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบที่นับวันจะยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์) โดยความร่วมมือระหว่าง 101 PUB และ สสส. ชวนผู้อ่านทำความเข้าใจว่าระบบธนาคารหน่วยกิตคืออะไร? ภาครัฐทำไปถึงไหนแล้ว? และมีอะไรที่ต้องระวังหรือคิดต่อไปในอนาคต?

ไทยมุ่งปรับการศึกษาให้ยืดหยุ่นเพื่อรองรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

ความยาก–ง่ายในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กแต่ละกลุ่มมีไม่เท่ากัน เด็กธรรมดาทั่วไปที่บ้านไม่ได้ยากจนมักมีเวลามากพอที่จะเรียนในระบบได้อย่างเต็มที่ ตรงกันข้ามกับเด็กยากจนที่บางครั้งก็ต้องหยุดเรียนเพื่อช่วยที่บ้านทำมาหากิน ไม่สามารถเรียนได้อย่างเต็มที่ หลายครั้งเด็กเหล่านี้ก็ต้องติดศูนย์หรือหมดสิทธิ์สอบ (มส.) เพราะขาดเรียนหลายครั้ง ทำให้เรียนจบได้ช้ากว่าเพื่อน หรืออาจจะหลุดจากระบบการศึกษาไปเลย รายงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. พบว่าในปัจจุบัน มีเด็กอายุ 3–18 ปีกว่า 1 ล้านคน หรือ 8.4% ของเด็กอายุ 3–18 ปีทั้งหมด เป็นเด็กนอกระบบที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบการศึกษา เมื่อ กสศ. ลงสำรวจถึงสาเหตุที่เด็กเหล่านี้ออกจากระบบการศึกษาจะพบว่าเด็กนอกระบบเกือบครึ่งลาออกเพราะความยากจน[1]กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2023). … Continue reading

แม้จะไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนได้อย่างเต็มที่ แต่เด็กเหล่านี้จำนวนมากกลับมีทักษะจากการเรียนรู้นอกห้องเรียนอยู่แล้วจากประสบการณ์การทำงานหรือการใช้ชีวิต บางคนก็อาจได้รับการศึกษาระยะสั้นผ่านการอบรมและหลักสูตรระยะสั้น การที่เด็กกลุ่มนี้ต้องมานั่งเรียนในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แล้วก็ถือเป็นการสิ้นเปลืองเวลา–ทรัพยากร และสร้างต้นทุนค่าเสียโอกาสเพราะเด็กเหล่านี้จะไม่ได้เอาเวลาอันมีค่าเพื่อศึกษา/เรียนรู้สิ่งที่ตนเองสนใจ ดังนั้นในภาพรวมระบบการศึกษารูปแบบนี้จึงมีลักษณะตายตัว ไม่เหมาะกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษดังเช่นนักเรียนทั้งสองกลุ่มที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว

ไทยมุ่งปรับการศึกษาให้ยืดหยุ่น รองรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ภาพที่ 1

รัฐไทยตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวดีและมีความพยายามออกแบบการศึกษาให้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นมาตั้งแต่อดีต สะท้อนจาก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (1999) ซึ่งได้วางหลักไว้ว่ารัฐจะต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องและยืดหยุ่นกับเงื่อนไขชีวิตผู้เรียนหรือบริบทในพื้นที่

ส่วนสำคัญของกฎหมายนี้คือการเปิดให้สถานศึกษาสามารถสอนได้สามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ, การศึกษานอกระบบ ซึ่งเป็นการสอนที่ยืดหยุ่นกว่าการศึกษาในระบบทั้งในเชิงของรูปแบบการสอน ระยะเวลา หรือการวัดผล และการศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวผู้เรียนเองทั้งจากการอบรม การเรียนหลักสูตรต่างๆ หรือจากการทำงาน ผลการศึกษาทั้งสามรูปแบบนี้สามารถเทียบโอนไปยังสถานศึกษาปลายทางในกรณีย้ายสถานศึกษาหรือเพื่อขอยกเว้นบางวิชา (Exemption) ในสถานศึกษาที่กำลังเรียนได้ด้วย[2]พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (1999) มาตรา 15.

ปัจจุบัน รัฐพยายามเพิ่มความยืดหยุ่นของการศึกษาขึ้นไปอีกระดับ ผ่านการนำระบบสะสมหน่วยกิตในฐานข้อมูลของรัฐ หรือที่เรามักเรียกว่า ‘ธนาคารหน่วยกิต’ มาปรับใช้ โดยเมื่อผู้เรียนทำการศึกษาไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ผลการประเมินผลการเรียนรู้จะถูกบันทึกไว้ในระบบธนาคารหน่วยกิต เพื่อเก็บประวัติการเรียนรู้ของผู้เรียนแบบไม่จำกัดอายุ หากผู้เรียนต้องการเทียบโอนหน่วยกิตไปยังสถานศึกษาที่ตนกำลังศึกษาหรือสถานศึกษาที่ตนกำลังจะย้ายเข้านั้นเพื่อขอยกเว้นบางวิชา ระบบก็จะโอนข้อมูลหน่วยกิตจากธนาคารหน่วยกิตมายังสถานศึกษาปลายทาง หรือในกรณีที่ผู้เรียนสะสมหน่วยกิตจนถึงเกณฑ์จบการศึกษาใดการศึกษาหนึ่ง ระบบก็จะดำเนินการในการรับรองหรือออกวุฒิการศึกษาให้ผู้เรียนที่อยู่ในระบบธนาคารหน่วยกิตดังนั้นเมื่อเด็กเหล่านี้เรียนจบออกมาก็จะมีโอกาสเข้าถึงการทำงานได้ไม่ต่างกับเด็กผ่านการเรียนในระบบ[3]ประมวลผลจาก ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง … Continue reading

หน่วยงานการศึกษายังต่างทำระบบธนาคารหน่วยกิตของตัวเอง?

ความคืบหน้าของการทำธนาคารหน่วยกิตในปัจจุบันยังคงอยู่ในขั้นตอนการวางกรอบจากกฎหมาย ทั้งเรื่องเป้าหมายของธนาคารหน่วยกิต หน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงกฎเกณฑ์ในการสะสมหน่วยกิต เมื่อแบ่งธนาคารหน่วยกิตตามขอบเขตความรับผิดชอบแล้ว จะแบ่งออกได้เป็นสามส่วนหลัก คือ

  1. ธนาคารหน่วยกิตระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา รับผิดชอบโดยสำนักเลขาธิการสภาการศึกษา
  2. ธนาคารหน่วยกิตระดับอุดมศึกษา รับผิดชอบโดยสำนักงานปลัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
  3. ธนาคารหน่วยกิตสำหรับมาตรฐานวิชาชีพ (คุณวุฒิวิชาชีพชั้น 1–8) รับผิดชอบโดยสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)

การนำระบบธนาคารหน่วยกิตมาปฏิบัติกับการศึกษาขั้นพื้นฐานยังคงอยู่ในขั้นของการนำร่อง (Sandbox) ทั้งหมดห้าจังหวัด คือ ลำพูน เชียงใหม่ อุดรธานี ปทุมธานี และนครศรีธรรมราช[4]ดูเพิ่มเติม สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (10 กรกฎาคม … Continue reading

ขณะที่ระดับอุดมศึกษามีความคืบหน้าในการนำระบบธนาคารหน่วยกิตมาใช้มากกว่าโดยเฉพาะระดับปริญญาโท เพราะมีระบบกลางในการลงทะเบียนเรียนข้ามมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกของ ‘ที่ประชุมคณะผู้บริหารบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ’ หรือ ทคบร. ซึ่งครอบคลุมมหาวิทยาลัย 25 แห่งไว้แล้ว แต่ในระดับปริญญาตรีระบบธนาคารหน่วยกิตยังคงอยู่เฉพาะมหาวิทยาลัยของตนเอง เช่น Pre – Degree ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือธนาคารหน่วยกิตในเครือของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.)

ภาพที่ 2: ระบบลงทะเบียนเรียนข้ามสถาบันของมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกของ ทคบร.
ที่มา: ที่ประชุมคณะผู้บริหารบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ
หมายเหตุ: ครอบคลุมเฉพาะการศึกษาในระดับปริญญาโท

ทางด้านธนาคารหน่วยกิตสำหรับคุณวุฒิวิชาชีพ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มของระบบธนาคารหน่วยกิตเอาไว้แล้ว คือ EWE Platform แต่ก็ยังห่างไกลจากภาพอุดมคติของธนาคารหน่วยกิตในระดับชาติ เนื่องจากระบบเชื่อมต่อกับสถานศึกษาได้เพียงแค่ 6 แห่งเท่านั้น (วิทยาลัยเทคนิค 3 แห่ง, มหาวิทยาลัย 3 แห่ง)[5]ข้อมูล ณ วันที่ 17 มกราคม 2025. สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะธนาคารหน่วยกิตในระดับการศึกษาอื่นยังไม่มีแพลตฟอร์มกลางที่ชัดเจน ทำให้ธนาคารหน่วยกิตในระดับคุณวุฒิวิชาชีพยังไม่มีแพลตฟอร์มอื่นให้เชื่อมต่อ[6]จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญภายในสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ โดย คิด for คิดส์

ภาพที่ 3: ระบบธนาคารหน่วยกิตของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ
ที่มา: สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)

สถานการณ์ดำเนินธนาคารหน่วยกิตของแต่ละระดับการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการผลักดันธนาคารหน่วยกิตในไทยยังคงเป็นการแยกกันทำของตัวเอง การพัฒนาระบบธนาคารหน่วยกิตจึงยังไม่ได้จบลงแค่การทำระบบของตัวเองให้เสร็จ แต่ยังต้องมองถึงยุทธศาสตร์ในการบูรณาการธนาคารหน่วยกิตแต่ละแห่งเข้ากันด้วย

การเทียบโอนความรู้จากนอกห้องเรียนเป็นแนวคิดที่ดี แต่การเรียนรู้บางรูปแบบก็วัดผลยาก

เทียบโอนความรู้ แนวคิดดี แต่การเรียนรู้บางแบบวัดผลยาก
ภาพที่ 4

กฎหมายหรือประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธนาคารหน่วยกิต เปิดช่องให้สถานศึกษาที่จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาล-ปริญญาเอก สายสามัญ–สายอาชีพ สามารถจัดการศึกษาด้วยระบบธนาคารหน่วยกิตได้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการปลดล็อกการศึกษาให้มีความยืดหยุ่นขึ้นในทุกระดับ

แม้การปลดล็อกข้อจำกัดด้านการศึกษาจะเป็นเรื่องดี แต่ความเป็นจริงยังคงเป็นไปได้ยากเนื่องจากการประเมินผลการเรียนรู้เพื่อเทียบเป็นหน่วยกิตแต่ละวิชามีความยาก–ง่ายไม่เท่ากัน บางวิชาสามารถกำหนดมาตรฐานได้ง่าย ชัดเจน และมีมาตรฐานสากลกำกับ เช่น นาย A ต้องการวัดผลการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษจากการใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งการประเมินทักษะภาษาอังกฤษนั้นแม้จะมีหลายวิธี แต่ก็มีวิธีที่เป็นมาตรฐานและได้รับการยอมรับมากกว่าวิธีอื่นๆ นั่นคือการให้ผู้ที่จะขอเทียบโอนวิชาภาษาอังกฤษยื่นคะแนนสอบวัดมาตรฐานสนามต่างๆ เช่น TOEIC, TOEFL หรือ IELTS หากถึงเกณฑ์คะแนนที่กำหนดก็สามารถเทียบโอนกับวิชาภาษาอังกฤษภายในสถานศึกษาเพื่อขอยกเว้นรายวิชานั้นได้ดังเช่นมหาวิทยาลัยหลายแห่งในปัจจุบัน

ตรงข้าม การประเมินผลการเรียนรู้บางวิชาเพื่อเทียบเป็นหน่วยกิตก็เป็นเรื่องยาก เช่น B ต้องการนำประสบการณ์จากการช่วยที่บ้านทำการเกษตรมายื่นขอประเมินเป็นหน่วยกิตในวิชาที่เกี่ยวข้องกับความรู้การเกษตรเบื้องต้น หรือกรณี C ต้องการนำประสบการณ์การเป็นโค้ชฝึกสอนนักกีฬาทีมชาติไทย มาเทียบกับวิชาการฝึกสอนกีฬา การประเมินผลการเรียนรู้เหล่านี้มีหลากหลายวิธี เช่น การสัมภาษณ์ และการยื่นแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) ซึ่งอาจไม่ได้มีแนวปฏิบัติชัดเจนเท่ากรณีภาษาอังกฤษ ดังนั้นคำถามสำคัญคือสถานศึกษาจะใช้วิธีอะไรในการประเมินผลการเรียนรู้ของ B และ C?

อีกข้อกังวลต่อการเทียบโอนคือคุณภาพในการประเมินคือสถานศึกษาแต่ละแห่งมีคุณภาพในการประเมินผลการเรียนรู้ไม่เท่ากัน ทำให้สถานศึกษาบางแห่งไม่เชื่อถือการประเมินผลการเรียนรู้จากสถานศึกษาแห่งอื่นโดยเฉพาะสถานศึกษาที่มีคุณภาพสูง รวมถึงสถานประกอบการเองก็ไม่เชื่อมั่นว่าผู้ที่จบการศึกษาจากธนาคารหน่วยกิตจะมีความรู้ความสามารถเทียบเท่ากับคนที่เรียนในระบบปกติ ในกรณีเลวร้ายที่สุด แต่ละสถานศึกษาเอกชนที่อยู่ในธนาคารหน่วยกิตก็เลือกหากำไรด้วยการแข่งกันลดคุณภาพการประเมิน เพื่อดึงคนให้มาประเมินกับตนให้มากที่สุด ส่งผลให้ภาพรวมการประเมินผลการเรียนรู้มีคุณภาพต่ำ ความไม่แน่นอนเหล่านี้จะส่งผลให้ระบบธนาคารหน่วยกิตทั้งระบบขาดความน่าเชื่อถือ

นอกจากประเด็นเรื่องการเทียบโอน กฎระเบียบบางส่วนก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นเสียเอง เพราะในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานยังคงมีการจำกัดอายุของผู้เรียนอยู่ หรือในการศึกษาในระดับอุดมศึกษาก็ยังคงมีการจำกัดระยะเวลาในการเรียนแต่ละหลักสูตร[7]สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2020). … Continue reading กฎระเบียบที่จำกัดกรอบอายุและระยะเวลาเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคต่อกลุ่มที่ต้องหยุดเรียนเพื่อทำงานหรือกลุ่มคนที่เคยหลุดจากระบบการศึกษาไปแล้วแต่อยากกลับเข้าระบบการศึกษาเสียเอง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักและใหญ่ที่รัฐต้องการจะแก้ปัญหา

‘ยืดหยุ่นแต่ไม่หย่อนยาน’ เป้าขั้นต่ำของธนาคารหน่วยกิต

ความท้าทายในการออกแบบธนาคารหน่วยกิตคือการ ‘ทำอย่างไรให้ธนาคารหน่วยกิตมีความยืดหยุ่น โดยยังคงรักษามาตรฐานและคุณภาพการประเมินให้ใกล้เคียงกับการศึกษาในระบบได้อยู่’ เพราะถ้าภาพรวมการประเมินผลการเรียนรู้เป็นหน่วยกิตไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนหรือมีคุณภาพใกล้เคียงกับการศึกษาในระบบ สถานศึกษาแต่ละแห่งที่จะรับเทียบโอนก็อาจไม่กล้ารับเทียบโอนเนื่องจากไม่รู้ว่าผู้ที่ขอเทียบโอนมีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะเทียบโอนหรือไม่

ยืดหยุ่นแต่ไม่หย่อนยาน เป้าขั้นต่ำของธนาคารหน่วยกิต
ภาพที่ 5

ประเทศต้นแบบธนาคารหน่วยกิตของไทยอย่างเกาหลีใต้ได้มีการมอบหมาย สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งชาติ (National Institute for Lifelong Learning: NILE) เป็นหน่วยงานหลักในการวางมาตรฐาน ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของธนาคารหน่วยกิต รวมถึงประสานงานสถานศึกษาที่ต้องการจะจัดการศึกษาในระบบธนาคารหน่วยกิตด้วย[8]ข้อมูลจาก NILE. สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 2025. ตัวอย่างวางมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา เช่น การกำหนดคุณสมบัติของผู้สอนว่าจะต้องมีวุฒิอย่างน้อยเทียบเท่ากับอาจารย์ที่สอนในระดับปริญญาตรี การกำหนดชั่วโมงสอนให้ไม่เกิน 18 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรือการกำหนดมาตรฐานห้องเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้[9]ข้อมูลจาก NILE. สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 2025.

แม้ประเทศไทยจะมีหน่วยงานกำหนดมาตรฐาน กำกับดูแลมาตรฐาน หรือดำเนินงานอื่นเกี่ยวกับธนาคารหน่วยกิต[10]ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง … Continue reading แต่ก็ยังคงมีลักษณะกระจัดกระจายตามระดับการศึกษา หากหน่วยงานเหล่านี้ไม่มีการประสานงานและบูรณาการฐานข้อมูลที่ดีพอ ก็อาจทำให้การกำหนดมาตรฐาน การกำกับดูแล หรือการดำเนินงาน ขาดทิศทางที่ชัดเจน

แม้การออกแบบระบบธนาคารหน่วยกิตให้ยืดหยุ่นโดยที่ยังคงมาตรฐานการประเมินและควบคุมคุณภาพจะสำคัญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสังคมจะให้ความเชื่อถือต่อระบบและยอมรับผู้จบการศึกษาในระบบธนาคารหน่วยกิต ดังเช่นกรณีเกาหลีใต้[11]สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2020). … Continue reading ที่สังคมยังคงให้คุณค่ากับชื่อเสียงของสถาบันศึกษาอยู่ อีกหนึ่งสิ่งที่รัฐต้องทำให้ได้คือการสื่อสารนโยบายให้เป็นที่รู้จักแก่สังคม[12]สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2020). … Continue reading เปลี่ยนทัศนคติของผู้ปกครองและสถานประกอบการให้รับรู้ว่าการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่การเรียนในระบบเท่านั้น

References

References
1 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2023). ความจริงและความเร่งด่วนของสถานการณ์เด็กนอกระบบในประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 19 มกราคม 2025.
2 พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (1999) มาตรา 15.
3 ประมวลผลจาก ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง แนวทางการดำเนินงานธนาคารหน่วยกิตระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการอาชีวศึกษา พ.ศ.2567 (2024), ประกาศกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เรื่อง แนวทางการดำเนินงานคลังหน่วยกิตในระดับอุดมศึกษา พ.ศ.2565 (2022) และสัมภาษณ์โดย คิด for คิดส์.
4 ดูเพิ่มเติม สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (10 กรกฎาคม 2023).นิตินั่งหัวโต๊ะติดตามความก้าวหน้าธนาคารหน่วยกิต 5 จังหวัดนำร่อง หวังขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ. สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2025.
5 ข้อมูล ณ วันที่ 17 มกราคม 2025.
6 จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญภายในสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ โดย คิด for คิดส์
7 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2020). การศึกษาและพัฒนาระบบและกลไกขับเคลื่อนระบบธนาคารหน่วยกิต: ข้อเสนอสำหรับประเทศไทย. หน้า 225.
8, 9 ข้อมูลจาก NILE. สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 2025.
10 ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง แนวทางการดำเนินงานธนาคารหน่วยกิตระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการอาชีวศึกษา พ.ศ.2567 ข้อ 9(4) และ ข้อ 10; กรณีธนาคารหน่วยกิตระดับอุดมศึกษายังไม่ชัดเจนว่าหน่วยงานกลาง (สำนักงานปลัดกระทรวง อว.) ต้องดำเนินการกำกับดูแลตามคำสั่งของคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา; ประกาศกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เรื่อง แนวทางการดำเนินงานคลังหน่วยกิตในระดับอุดมศึกษา พ.ศ.2565 ข้อ 5(1) และ ข้อ 11.; พ.ร.ฎ.จัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ พ.ศ.2554 มาตรา 7 และ 18(3).
11 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2020). การศึกษาและพัฒนาระบบและกลไกขับเคลื่อนระบบธนาคารหน่วยกิต: ข้อเสนอสำหรับประเทศไทย. หน้า 63.
12 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2020). การศึกษาและพัฒนาระบบและกลไกขับเคลื่อนระบบธนาคารหน่วยกิต: ข้อเสนอสำหรับประเทศไทย. หน้า 227.

อินโฟกราฟฟิก

วิจัย/เขียน

กษิดิ์เดช คำพุช

สร้างสรรค์ภาพ

สรัช สินธุประมา

บทความที่เกี่ยวข้อง

เติมทุน-หนุนการมีส่วนร่วม: เปลี่ยนฝันของเยาวชนไปสู่พลังการเปลี่ยนแปลง

เติมทุน-หนุนการมีส่วนร่วม: เปลี่ยนฝันของเยาวชนไปสู่พลังการเปลี่ยนแปลง

คิด for คิดส์ ชวน โชติเวชญ์ อึ้งเกลี้ยง, อดิศร จันทรสุข, และ ณัฐภัทร เนียวกุล แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับอุปสรรคที่เยาวชนพบเจอในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนสังคม ตลอดจนเสนอแนวทางลดอุปสรรค-พัฒนากลไกสนับสนุนพวกเขา

ปรับนโยบายให้ 'เห็นหัว' เด็กและเยาวชนด้วย CYIA (Child and Youth Impact Assessment)

ปรับนโยบายให้ ‘เห็นหัว’ เด็กและเยาวชนด้วย CYIA (Child and Youth Impact Assessment)

คิด for คิดส์ ชวนทำความรู้จักแนวคิด CYIA (Child and Youth Impact Assessment) ซึ่งหลายประเทศใช้เป็นเครื่องมือปรับปรุงนโยบายให้ ‘เห็นหัว’ เด็กและเยาวชนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสำรวจแนวทางการนำ CYIA มาใช้ประเมินนโยบายในรูปแบบ ‘ร่างกฎหมาย’ ในไทย

ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์)

ศูนย์วิจัยและสื่อสารความรู้เพื่อตอบโจทย์อนาคต มุ่งวิเคราะห์ ออกแบบ เผยแพร่ความรู้ และขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านเด็ก เยาวชน ครอบครัว และการเรียนรู้ เพื่อเป็นฐานสนับสนุนทางวิชาการให้กับสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. และภาคีเครือข่าย

Copyright © 2025 kidforkids.org | All rights reserved.